Friday, 22 January 2010

อย่าทิ้งฉันกลางทาง

(เหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน)

"เออ... หมาบ้านท้ายซอยไม่อยู่แล้วนะ" 
ไม่ต้องบอกพิกัดที่ชัดเจนไปมากกว่านี้ ไม่ต้องบอกว่าหมาตัวไหน เราก็พอเดาออก 
(บ้านเป็นทาวน์เฮาส์ค่ะ แล้วบ้านท้ายซอยทั้งสองหลังก็เลี้ยงหมาทั้งคู่)
เจ้าหมาตัวที่ว่า... เราไม่เคยเห็นเจ้าของปล่อยให้ออกมาเดินเล่นนอกบ้าน เวลาที่เราจูงหมาที่บ้านไปเยี่ยมเยียนหมาเพื่อนบ้าน ก็จะเจอเจ้าตัวนี้นอนเซื่องๆ หน้าตามอมแมม ด้วยแววตาไม่มีความสุขอยู่ในรั้วบ้าน

"ม้าเห็นหลังๆ ไม่ค่อยได้ยินเสียงมันร้อง (ร้องเพราะถูกเจ้าของตี) เลยไปถามป้าเวียง (ป้าอยู่บ้านตรงข้ามกับน้องหมาตาเศร้า) ป้าแกบอกมันไปสวรรค์แล้ว ไปดีแล้ว"

แต่เหตุให้น่าหดหู่มันไม่ด้อยู่ที่น้องหมาตายหรอกค่ะ
ที่น่าหดหู่มาจาก...

เจ้าของเขาไม่ให้ข้าว ไม่ให้น้ำ ปล่อยให้มันค่อยๆ อดตายไปเอง

ได้ยินครั้งแรกได้แต่อึ้ง อึ้ง และอึ้ง
และ (เกือบ) แช่งเขาไปแล้ว
แต่มาคิดได้ว่า ไม่ต้องไปแช่งเขาหรอก
สิ่งที่เขาทำ เราว่าสักวันเขาคงได้รับสิ่งที่เขาทำไว้ตอบแทน

ไม่เข้าใจเหมือนกัน จะเลี้ยง จะเอาเขามาอยู่ด้วยทำไม
ในเมื่อคุณไม่พร้อมที่จะดูแลเขา
เรียกว่า... ไม่มีให้เขาแม้แต่ความรัก

หลับให้สบายนะมอมแมม (ไม่แน่ใจว่าน้องหมาตัวนั้นชื่ออะไร แต่จากสภาพที่เราเคยเห็น ชื่อมอมแมมเหมาะกับเขามาก และเรียกด้วยชื่อนั้นมาตลอด)

 

เริ่มรักเมื่อตอนแรกเจอ เธอจับจองตัวฉัน กลิ่นนั้นยังจำไม่เคยจาง
คอยเอาใจ อภัยให้ทุกอย่าง จับจูงร่วมทาง ให้ฉันวิ่งเคียงข้างไป
แต่แล้วเมื่อวันนั้นมา เธอกลับพาตัวฉัน ปลอ่ยฉันตรงมุมไม่คุ้นเคย
สั่งให้รอ ก็รออยู่เฉย ๆ แม้วันล่วงเลย ไม่เคยไปจากตรงนั้น

รอคนที่ทิ้งฉันกลางทาง รอคนที่รักอย่างภักดี
รอเธออยู่ตรงนี้ เพราะฉันไม่มีใจเหลือไปให้ใคร
อย่าเลย อย่าทิ้งฉันกลางทาง อย่าเลยอย่ารักเพียงพักเดียว
อย่าทำให้ฉันต้องคอยเหลียว คอยมองหา อย่าเลย


ยังห่วงหา ยังคงรออยู่ตรงนี้ เพราะใจที่มียังคิดถึงคนที่เลี้ยงดูมา
เฝ้าตามหา เพราะไม่เคยจะรู้ว่า คนที่รักตลอด จะไม่เลี้ยงตลอด จะไม่กอดฉันตลอดไป

(เพลง อย่าทิ้งฉันกลางทาง จากละคร น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์)


Thursday, 21 January 2010

เรื่องคืนนั้น...

คืนวันจันทร์ หรือจะเรียกว่าเช้าวันอังคาร ราวตี 4 นิดๆ
นั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว
จู่ๆ ไฟก็ดับพรึ่บ
เอาแล้วจุ้ย
เล่นตูแล้ว..

และพฤติกรรมที่ทำประจำเวลาไฟดับ แล้วหัวเดียวกระเทียมลีบ
คือการฟุบกับโต๊ะ และหลับตาปี๋
ประมาณว่าถ้ามีอะไรแปลกปลอม ก็คงมองไม่เห็น
เดชะบุญตอนนั้นเปิดอาราชิ (จากมือถือ) ไว้ บรรยากาศเลยไม่วังเวงมาก

เอานา.. เดี๋ยวไฟมันคงติด
เอานา...
เอานา...

ผ่านไป 10 นาทีก็แล้ว 20 นาทีก็แล้ว
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
มีเพียงความมืด และเสียงเพลงจากอาราชิ

สมองเริ่มจินตนาการ
ก่อนกลับมาทำงาน เพื่อนที่เรียนด้วยกันคุยถึงหนัง 'ตายโหง'
จินตนาการเริ่มมา

เมื่อเสาร์ ช่างภาพถาม อยู่ออฟฟิศคนเดียว ไม่เคยเจอผีมั่งเหรอ
จินตนาการเริ่มมา

เสียงคุยของยามข้างล่าง ดังขึ้นมาข้างบน
อ๊ะ มีคนคุยกันอยู่ข้างๆ
เสียงกอกแกกนู่นนี่
เฮ้ย ใครอยู่แถวนี่

ฟุบหน้ากับหมอนมานาน
ชักเริ่มหายใจไม่ออก
จินตนาการบรรเจิด
นานกว่านี้อาจประสาทเสียได้

ปิดเครื่อง Mac
ปิด printer
ปิดแอร์
ยัดทุกอย่างลงกระเป๋า
ปิดสวิตช์ไฟ

เปิดฝาพับมือถือ
มือเกาะราวบันได
ตามองต่ำ
อาศัยแสงเรืองๆ กับเสียงอาราชิเป็นเพื่อนไต่ลงมาจากชั้น 4 ถึงชั้น 1

เพื่อพบว่า...
ออกไปนอกตึกไม่ได้
เพราะประตูล็อกไฟฟ้า
และพี่ยามที่อยู่นอกตึกก็มิสามารถช่วยอะไรอิฉันได้เลย

ที่ทำได้ืคือ นั่งหลับกับโซฟาหลังประตู
กับความมืด และความเงียบ
เพราะมือถือแบตหมดไปเรียบร้อย

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้
ก็มีเสียงเคาะก๊อกๆ ที่ประตู
"พี่ๆ ไฟมาแล้ว"
โอ... อิสรภาพมันช่างหอมหวานเหลือเกิน


เรื่องคืนนั้นสอนให้รู้ว่า... ควรศึกษาวิธีเปิดประตูออฟฟิศตอนไฟดับไว้ด้วย มิฉะนั้น อาจจะเป็นเช่นนี้

Wednesday, 13 January 2010

คิดเอาเอง

นอกจากจะมีความดันทุรังแบบบ้าๆ เป็นสันดานแล้ว
หัสยายังมีสันดานอีกอย่างที่ฝังรากลึก นั่นคือ 'คิดเอาเอง'
คิดเอาเองว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และมั่นใจว่ามันต้องเป็นอย่างที่คิด


คิดเอาเองว่าตัวเองเกิดวันอาทิตย์
ไม่รู้ว่าเหตุอะไรถึงคิดอย่างนั้น แต่เอาเป็นว่าคิดว่าตัวเองเกิดวันอาทิตย์อยู่นานหลัก 15 ปีขึ้น จนได้มาเปิดปฏิทิน 100 ปี เอ๋า... เกิดวันศุกร์นี่หว่า

คิดเอาเองว่าตัวเองเกิดปีเถาะ
ก็กระต่ายมันดูน่ารักกว่าไก่นี่นะ เลยคิดว่าตัวเองเกิดปีเถาะ คิดฝังหัวอย่างนั้นพอๆ กับที่คิดว่าตัวเองก็วันศุกร์ จนได้สะดุดใจนิดหนึ่งตรงที่ เอ๊ะ ทำไมพออายุ 12 ปี ปีนักษัตรไหงไม่เป็นปีเถาะ แต่ ณ ตอนนั้นยังคิดว่า คงมีการคำนวณใดๆ ผิดพลาด มันเลยไม่ตรง แล้วก็ยังเชื่อว่าตัวเองเกิดปีเถาะกันต่อไป จนมาสำเหนียกได้ตอนเรียน ม.ปลาย

คิดเอาเองว่ากางเกงเลต้องใส่แบบเอามาผูกให้เป็นปม
ใส่กางเกงเลครั้งแรกตอน ม.ต้น ไม่มีใครมาบอกมาต้องใส่ยังไง เลยคิดเอาเองว่ากางเกงเลต้องใส่โดยการจับผ้าตรงเอวทั้งสองข้างมาผึกให้เป็นปม แล้วไอ้เชือกที่อยู่ตรงก้นนั้นเขามีไว้ปล่อยให้เป็นหางอย่างนั้น มิหนำซ้ำ ตอน ม.ปลาย ยังสอนเพื่อนใส่กางเกงเลด้วยวิธีการเดียวกับตัวเอง (เอาเข้าไป) เพิ่งมารู้เอาตอนสงกรานต์ปีที่แล้วว่าวิธีการใส่กางเกงเลที่ถูกต้องเป็นยังไง


อืม... แต่ละอย่าง คิดไปได้

Sunday, 10 January 2010

วันของเด็ก




ซื้อชุดให้หลานสาวคนกลาง และคนเล็ก เป็นของขวัญวันเกิด ปีใหม่ และวันเด็ก (รวบยอด) กะไซซ์ผิดไปทั้งคู่ ของคนกลางนี่หวิดติ้ว ส่วนของคนเล็กนี่แทบจะเป็นชุดราตรี

แฟชั่นน้องพลอย และน้องจิงจิง เชิญยลกันได้